จากช่วงน้ำท่วมเมืิอปี 2554 ที่ผ่านมา เพื่อนๆหลายคนคงประสบกับปัญหาน้ำท่วมในหลายๆบ้านใช่ไหมค่ะแอดมินก็เช่นกันค่ะ แอดมินก็ตกเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยน้ำท่วมเช่นกัน ทั้งโรงงาน บ้าน ทั้งสองที่ไม่รอดค่ะ 555++
หลังจากน้ำท่วมผ่านไป แอดมินก็บพบว่ากระแสลูกค้าที่ต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้จริงหรือไม้อัดน้านนน เย้อออ เหลือเกิน ช่วงนั้นเฟอร์นิเจอร์ไม้อัดที่ทางโรงงานผลิตก็มีออร์เดอร์เข้ามาเยอะค่ะ แต่ออร์เดอร์เฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้ MDF , ไม้ปาติเกิ้ลก็น้อยลงมากจนน่าใจหาย อาจเพราะลูกค้าหลายท่านมีความเชื่อว่าเฟอร์นิเจอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้อัดหรือไม้จริงนั้นทนน้ำ แต่ไม้MDF , ไม้ปาติเกิ้ล ไม่ทนน้ำ แอดมินอยากบอกเหลือเกินว่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ไหนทนน้ำหรือกันน้ำได้นะค่ะ ไม่ว่าไม้จริง ไม้อัด ไม้MDF ไม้ปาติเกิ้ล ทุกไม้ไปหมดค่ะ เพราะบ้านแอดมินก็ขายไม้ ไม้ที่ขายก็เสียหายหมดเหมือนๆกัน เพียงแต่ไม้แต่ละชนิดก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไปค่ะ และเพียงแต่เฟอร์นิเจอร์ไม้อัดหรือไม้จริงสามารถทนได้น้ำได้ในระยะเวลาที่นานกว่าเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ชนิอื่นๆค่ะ , ไม้ MDF มีแน่นเนียนเสมอทั้งแผ่นไม้ , ไม้ปาติเกิ้ลภายในมีรูพรุน แต่เนื้อก็มีความแน่นในระดับนึง ฉะนั้นนี้คืออีกคำตอบหนึ่งที่ที่ทำให้ราคาเฟอร์ที่ผลิตจากไม้แต่ละชนิดมีราคาที่แตกต่างกันด้วย คือราคาเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้จริงหรือไม้อัดจะแพงที่สุด รองอันดับสองก็เป็นเฟอร์นิเจอร์จากไม้ MDF ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้ปาติเกิ้ลจะถูกที่สุดค่ะ
ก็อย่างที่แอดมินเคยพูดไปแล้ว การเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์นั้น ให้เลือกที่ความชอบ งบประมาณเงินและการใช้งานนะค่ะ ^@^
้ำ
ไม้อัด ( Plywood ) เป็นผลิตภัณฑ์ ที่คงใช้พื้นฐานทางวัตถุดิบธรรมชาติ โดยถูกพัฒนากรรมวิธีการผลิต ขึ้นมาเพื่อตอบสนองการใช้ไม้จริง (Solid Wood) ที่มีขนาดหน้ากว้างมากๆ ที่ปัจจุบันการเจริญเติบโตของป่าไม้ในประเทศไทย ไม่ทันต่อการตอบสนองในการใช้งาน จึงต้องมีการพัฒนาการใช้ต้นไม้ ที่มีหน้ากว้างขนาดเล็ก, เป็นไม้ทั่วไป ที่มีการเจริญเติบโตรวดเร็ว และหาได้ง่าย นำมาดัดแปลง เพื่อใช้งานแทน ไม้อุตสาหกรรมต่างๆ ที่นับวันเริ่มหาได้ยากขึ้นทุกทีภายในประเทศ ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านแทน
ขนาดของไม้อัด ความกว้าง และความยาว จะเป็นขนาดมาตรฐาน คือ ขนาด 4' x 8' ( 1220 x 2440 มม.) ส่วนความหนาของไม้อัด โดยส่วนใหญ่ที่ใช้กันอยู่ปัจจุบัน จะไม่ได้เป็นขนาดที่ระบุแน่นอน เท่ากับขนาดความหนาของไม้อัดนั้นๆ ที่ใช้กันอยู่ เพราะขนาดของไม้อัด ขึ้นอยู่กับคุณภาพ และโรงไม้แต่ละโรงที่ผลิตออกมา เพราะฉะนั้นการเรียกไม้อัด บางครั้ง จึงต้องมีการเรียกคุณภาพของไม้กำกับไว้ด้วย เช่น ไม้อัดบางนา 10 มม., ไม้อัดเกรด A โรงใหม่ 15 มม. ความหนาของไม้อัดในตลาดทั่วไป โดยทั่วไปที่นิยมเรียกกัน จะมีความหนาอยู่ที่ 3, 4, 6, 10, 12, 15 และ 20 มม
กรรมวิธีการผลิต จะแบ่งเป็นเกรด A (ไม้อัดบางนา), B (ไม้อัดโรงใหม่) และ C (ไม้แบบ)
1. เริ่มจากกระบวนการนำซุง เปิดปีกไม้ โดยเครื่องเลื่อยสายพาน คือการตัดเปลือกนอกออก ให้เหลือเนื้อไม้ตามหน้าตัดซุง เป็นสี่เหลี่ยม
2. ส่งซุงเข้าต้ม เพื่อให้ไม้นิ่ม และดำเนินการสไลด์ตามแนวยาวตามขนาดท่อนซุง ออกมาเป็นแผ่นเยื่อไม้บางๆ ( ซึ่งเรียกไอ้อีกอย่างว่าวีเนียร์ ) ความหนาอยู่ที่ประมาณ 0.8-1.2 มม.
3. นำวีเนียร์ที่ได้ ผ่านเครื่องตัด เพื่อตัดริมขอบวีเนียร์ ให้เป็นเส้นตรง และตัดความยาวที่เกินมากไป
4. (ขั้นตอนนี้ โดยส่วนมาก จะใช้เฉพาะเกรด B ขึ้นไป ถ้าเป็นเกรดต่ำๆ หน่อย จะอาศัยวางเรียงกันโดยไม่ทำตามขั้นตอนนี้) นำวีเนียร์ ที่ตัดริม มาเย็บให้ติดกัน โดยใช้กระดาษกาวสำหรับปิดวีเนียร์ หรืออาจจะใช้เครื่องเย็บวีเนียร์ ที่เป็นลักษณะใช้เส้นกาวเย็บแทนเส้นด้าย จนได้หน้ากว้างประมาณ 1240 มม.,ความยาวประมาณ 2450 มม. และ หน้ากว้างประมาณ 2450 มม., ความยาวประมาณ 1240 มม.
5. นำวีเนียร์ที่ได้ ทากาวลาเท็กซ์อุตสาหกรรม โดยมาวางเป็นชั้นๆ สลับลายตามแนวขวางลาย และตามแนวขนานลาย ( ที่ต้องวางสลับลายระหว่างชั้นเช่นนี้ เพื่อให้เกิดการดึงตัวระหว่างผิวภายในที่เท่ากันทั้ง 2 ด้าน ไม่ให้เกิดการบิดตัวโก่งงอ เมื่อทำเป็นแผ่นสำเร็จ ) จนได้ความหนาที่ต้องการ แต่จะวางทับเป็นชั้นเลขคี่เสมอ ถ้าเป็นไม้อัดเกรดดีหน่อย มักจะวางชั้นให้ได้ความหนาเกินขนาดที่ต้องการไว้ก่อน
6. นำวีเนียร์ที่วางเสร็จแล้ว ขึ้น Hot Press (เครื่องอัดแรงดันสูง เครื่องนี้จะเป็นเครื่องอัดทับ ขนาดใหญ่ ที่มีแผ่นความร้อน ถ่ายผ่านจากบอยล์เลอร์ เข้ามา ปรับตั้งอุณหภูมิได้เกิน 100 องศาขึ้นไป ) อัดทับลงไป เพื่อให้แผ่นวีเนียร์อัดประสานติดกัน พร้อมเนื้อกาว ( การอัดทับลงไป ทำให้เกิดการยุบตัวของเนื้อวีเนียร์ ซึ่งคำนวนเป็นค่ายุบตัวมาตรฐานค่อนข้างยาก สำหรับวัตถุดิบทางธรรมชาติ ทำให้แผ่นไม้อัดที่ผลิตออกมา ค่าความหนาไม่ค่อยคงที่)